ข้อดี-ข้อเสียของการร้อยไหมจมูก

1.ดูเป็นธรรมชาติ เพราะไม่ต้องเป็นต้องการผ่าตัด คล้ายๆ กับฉีดฟิลเลอร์ แต่มันจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเพราะผลของมันจะค่อยๆ พัฒนาขึ้น ตามร่างกายที่ฟื้นฟูตามธรรมชาติทำให้ดูเหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรมา

2.สามารถทำได้บ่อย ถ้าเกิดไหมละลายแล้วเราสามารถมาทำอีกได้เลย ไม่เหมือนวิธีอื่นๆ ที่จะมีอายุการใช้งานที่นานกว่าและต้องทำการผ่าตัดในการปรับแก้

ข้อเสียของการร้อยไหมจมูก

1.เสริมได้ไม่โด่งนัก เพราะด้วยหลักการของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อ เลยทำให้ไม่สามารถกำหนดให้โด่งได้ตามใจนัก

2.เห็นผลได้ไม่นานนัก หลังจากไหมละลายแล้วผิวหนังของเราก็จะสูญเสียที่ยึดเหนี่ยวทำให้ไม่คงรูปดั่งเดิม

ร้อยไหมต้องดูแลรักษายังไง

1.หลังจากทำการร้อยไหมมา คุณหมอก็จะมียามาให้รับประทานอย่างเคร่งคัด

2.ห้ามให้แผลของเข็มนั้นโดนน้ำเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ร้อยไหมจมูกอยู่ได้นานแค่ไหน
เห็นผล 1 ปี (ในกรณีที่ใช้ไหมละลาย) หลังจากนั้นจะค่อยลดลงแต่จะโด่งกว่าก่อนทำแน่ๆ เพราะไหมที่?รอยเข้าไปมันช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งคอลลาเจนจะยังคงอยู่แม้ไหมจะละลายไปแล้วก็ตาม

การศัลยกรรมเสริมความงามมีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกันนะคะ แต่ละวิธีนั้นก็มีข้อดีข้อเสียแต่ต่างกันออกไป คุณน้องอยากจะต้องลองศึกษาดูว่าวิธีไหนเหมาะกับเราและได้ผลดีที่สุดนะคะ เพราะร่างกายของเราแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน การที่คนอื่นทำวิธีไหนแล้วดีอาจจะไม่ได้การันตีว่าถ้าเราเหมือนเค้าแล้วจะสวยเหมือนกัน ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยเพราะฉะนั้นอยากให้คุณน้องเช็คความปลอดภัยของตัวไหม เช็ค อ.ย ให้ดีๆ นะคะ

การเลือกใช้จักรยานออกกำลังกายต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์

จักรยานออกกำลังกาย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้พื้นที่ในการออกกำลังกายน้อย แม้แต่คนที่อยู่ห้องคอนโด หรืออยู่ในหอพักอพาร์ทเม้นต์ก็สามารถซื้อหามาไว้ใช้งานได้ไม่ยาก รวมถึงราคาของอุปกรณ์ชนิดนี้ก็ไม่สูง เมื่อเทียบกับอุปกรณ์อื่นๆรวมถึงจักรยานที่ใช้ปั่นออกไปตามถนนจริงๆ ซึ่งก็จะมีราคาที่สูงกว่า และบางอย่างก็ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่างหลายชนิดร่วมกัน แต่จักรยานคันเดียวใช้งานได้เลย ในการออกกำลังกายลดน้ำหนัก เพียงแค่หาเวลามาปั่นได้เป็นประจำก็ใช้ได้แล้ว

การหันมาปั่นจักรยานออกกำลังกายถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ในการช่วยลดและแก้ปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงานที่ได้ให้ความสนใจกับการหันมาขี่จักรยานเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นเทรนด์ขึ้นในสังคม ซึ่งเราจะสามารถสังเกตได้ว่าปัจจุบัน มีชมรมคนรักจักรยานเกิดขึ้น หรือว่าจะเป็นงานการกุศลในปัจจุบันที่ได้ให้ความสนใจในการเลือกใช้จักรยานมาเป็นกิจกรรมหลักในงานเพื่อดึงดูดให้คนมาร่วมงาน

การเลือกซื้อจักรยานออกกำลังกายจึงต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นอันดับแรก เพื่อให้ได้ประเภทของจักรยานที่เหมาะสมและเหมาะกับการใช้งาน จักรยานบางประเภทสามารถพับเก็บได้ เราจึงต้องคำนึงถึงเส้นทางการใช้งาน เช่น หากในเส้นทางมีการขึ้นรถแท็กซี่ รถไฟฟ้าใต้ดินหรือรถไฟฟ้า BTS อาจต้องเลือกซื้อประเภทที่พับเก็บได้ ซึ่งจะมีน้ำหนักเบา มีขนาดกะทัดรัด ทำให้นำติดตัวและเดินทางได้สะดวก

ประเภทของจักรยานออกกำลังกาย

1. Upright exercise bike จักรยานออกกำลังกายแบบนั่งตรง (Upright exercise bike) ลักษณะจะเหมือนขี่จักรยานทั่วไป เป็นการนั่งตรงแล้วปั่น ปรับระดับความหนักได้ แต่ตัวUpright bike นี้ จะเปลี่ยนท่าทางไม่ค่อยได้เนื่องจากลักษณะการนั่งที่ถูกบังคับมาให้จับแฮนด์แบบตายตัว แต่ก็มีความปลอดภัยสูง ช่วยออกกำลังบริหารส่วนของขาได้เป็นอย่างดี

2. Recumbent bike / จักรยานออกกำลังกายแบบเอนปั่น (Recumbent bike) เป็นแบบนั่งเอนปั่น มีพนักพิง ความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาด้านกล้ามเนื้อ, กระดูกขา รวมไปถึงผู้สูงอายุ หรือคนที่น้ำหนักมาก เพราะเป็นการนั่งปั่น ทำให้ไม่เกิดแรงกระแทกใดๆ กลับมาที่กระดูกหรือช่วงสะโพกเลย เป็นอีกรุ่นที่คลาสสิคใช้ประโยชน์ได้จริง จากการปั่น ไม่ว่าจะบริหารกล้ามเนื้อหรือกระดูกในช่วงล่าง หรือปั่นเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านขาโดยเฉพาะ

3. spin bike เป็นรุ่นที่เหมาะกับการเบิร์นเป็นอย่างดี ด้วยลักษณะการขับขี่ที่สามารถปรับได้ทั้งแฮนด์จับและเบาะนั่ง ทำให้เพิ่มอัตรรถรสในการปั่นได้มากทั้งแบบนั่งปั่น, หมอบปั่น, ยืนปั่น ปั่นด้วยความเร็วที่มากได้ตามที่เราต้องการ ตาม Fitness ส่วนใหญ่จะใช้ปั่นเป็น Group เรียกกันว่า Spinning Class ซึ่งจะมีเทรนเนอร์มาคอยสอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน

การปั่นจักรยานออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

1.ให้ปั่นเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อครั้ง แต่ไม่เกิน 90 นาที เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาในการดึงเอาพลังงานสะสมในรูปไขมันมาใช้งานได้มากพอ แต่ก็ไม่นานเกินไปจนร่างกายและกล้ามเนื้อบอบช้ำ

2.ใช้การปั่นแบบสลับเร็วและช้า หรือที่เรียกว่า การปั่นแบบ interval การปั่นแบบนี้สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการปั่นแบบความเร็วคงที่เท่าเดิมได้มากถึง 5 เท่า ! ในเวลาเท่าๆ กัน และยังทำให้ร่างกายเมื่อยล้าน้อยกว่าอีกด้วย

3.ให้ทานอาหารเล็กน้อยก่อนปั่น 2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีกำลังเริ่มต้นในการออกกำลังกาย จะทำให้สามารถออกแรงได้มากกว่า อึดกว่า ปั่นได้นานขึ้น ร่างกายเสียหายน้อยลง

4.ปรับระดับแรงต้านให้เหมาะสม การปั่นเพื่อลดน้ำหนัก ให้ใช้แรงต้านน้อยปั่นง่ายๆ แต่เร็วสักหน่อย จะดีกว่าการใช้แรงต้านสูงๆ และยังไม่ทำให้น่องหรือขาโตอีกด้วย